วันพฤหัสบดีที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2554

การตีราคาสินค้าคงเหลือสิ้นงวดตามมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 31 เรื่องสินค้าคงเหลือ


Posted by prasitwiset on November 29th, 2007

ตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 31 เรื่อง สินค้าคงเหลือ ได้กำหนดการตีราคาสินค้าคง
เหลือดังนี้ สินค้าคง เหลือควรตีตามราคาทุนหรือมูลค่าสุทธิที่จะได้รับแล้วแต่ราคาใดจะ
ต่ำกว่า

นอกจากนี้มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 31 เรื่อง สินค้าคงเหลือในย่อหน้าที่ 25 กล่าวว่า มูลค่าสุทธิที่จะได้ รับของสินค้าคงเหลืออาจลดต่ำกว่าราคาต้นทุนของสินค้าคงเหลืออัน
เนื่องจากความเสียหาย ล้าสมัยหรือ ราคาขายลดลง รือจำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนการผลิต
หรือต้นทุนอื่นเพื่อให้สินค้าคงเหลือขายได้ การที่จะ ลดราคาสินค้าคงเหลือให้ต่ำ
กว่าราคาต้นทุนให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ นับว่าสอดคล้องกับแนวคิดที่
ว่า ทรัพย์สินไม่ควรแสดงราคาตามบัญชีที่สูงกว่ามูลค่าที่จะได้รับเพื่อที่จะได้รับประ
โยชน์จากการใช้และใน ย่อหน้าที่ 26 กล่าวว่า โดยทั่วไปการลดราคาสินค้าคง
เหลือให้เท่ากับมูลค่าสุทธิที่จะได้รับ จะพิจารณาจาก สินค้าแต่ละรายการแต่
ในกรณีที่เหมาะสม อาจพิจารณาสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกันหรือมีความเกี่ยวกันเข้า
เป็นกลุ่ม เช่น สินค้าที่อยู่ในสายผลิตภัณฑ์เดียวกันที่มีวัตถุประสงค์หรือ
การใช้ประโยชน์ขั้นสุดท้ายเหมือน กัน มีการผลิตหรือขายในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์เดียว
กัน หรือไม่สามารถแยกจากสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน อย่างไรก็ดี ก็ถือเป็นความไม่เหมาะสมที่จะปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือให้ลดลงเพียงสาเหตุที่มีการ
จัดกลุ่มรายการ สินค้าเข้าอยู่ในประเภทใหม่ เช่น กลุ่มสินค้าสำเร็จรูป หรือกลุ่มสินค้าคงเหลือทุกประเภทในอุตสาหกรรมใด อุตสาหกรรมหนึ่ง
หรือภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง สำหรับการให้บริการโดยทั่วไปต้นทุนมักจะสะสมแยกตาม
การ ให้บริการแต่ละงานเพื่อใช้กำหนดค่าบริการที่จะคิดกับลูกค้า ดังนั้น การปรับลดต้น
ทุนการให้บริการให้พิจารณา แยกตามงานแต่ละงานหากจากกัน

หลักในการบันทึกบัญชี


การบันทึกบัญชีหลักจากการวิเคราะห์รายการค้าแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
       1.1สินทรัพย์เพิ่ม              สินทรัพย์ลด
       1.2หนี้สินเพิ่ม                 หนี้สินลด
       1.3ส่วนของเจ้าของเพิ่ม     ส่วนของเจ้าของลด

หลักในการบันทึกบัญชีประเภทสินทรัพย์
       เมื่อสินทรัพย์เพิ่มขึ้น       ให้บันทึกบัญชีสินทรัพย์        ด้านเดบิต
       เมื่อสินทรัพย์ลดลง        ให้บันทึกบัญชีสินทรัพย์        ด้านเครดิต

หลักในการบันทึกบัญชีประเภทหนี้สิ          
       เมื่อหนี้สิน์เพิ่มขึ้น        ให้บันทึกบัญชีหนี้สิน       ด้านเครดิต
       เมื่อหนี้สินลดลง         ให้บันทึกบัญชีหนี้สิน       ด้านเดบิต

หลักในการบันทึกบัญชีประเภทส่วนของเจ้าของกิจการ       เมื่อส่วนของเจ้าของกิจการเพิ่มขึ้น      ให้บันทึกบัญชีส่วนของเจ้าของ      ด้านเครดิต
       เมื่อส่วนของเจ้าของกิจการลดลง       ให้บันทึกบัญชีส่วนของเจ้าของ      ด้านเดบิต

ประเภทของบัญชีแยกประเภท


ประเภทของบัญชีแยกประเภท แบ่งออกได้ดังนี้
          1.บัญชีประเภทสินทรัพย์ (Assets) หมายถึง บัญชีที่แสดงสินทรัพย์ที่กิจการเป็นเจ้าของแยกตามประเภทสินทรัพย์ เช่น บัญชีเงินสด บัญชีเงินฝากธนาคาร บัญชีลูกหนี้ บัญชีสินค้าคงเหลือ บัญชีวัสดุสำนักงาน บัญชีเครื่องใช้สำนักงาน บัญชีธนาคาร บัญชีที่ดิน เป็นต้น
          2.บัญชีประเภทหนี้สิน (Liabilities) หมายถึง บัญชีที่แสดงมูลค่าของหนี้สินที่กิจการต้องชำระให้กับบุคคลภายนอก เช่น บัญชีเจ้า
หนี้การค้า บัญชีเงินกู้ธนาคาร บัญชีค่าใช้จ่ายค้างจ่าย บัญชีตั๋วเงินจ่าย เป็นต้น
          3. บัญชีประเภทส่วนของเจ้าของ (Owner’s equity) หมายถึง บัญชีที่แสดงส่วนของเจ้าของที่เพิ่มหรือลดลง ได้แก่
          บัญชีทุน บัญชีถอนใช้ส่วนตัว บัญชีรายได้ บัญชีค่าใช้จ่าย
          บัญชีรายได้ เมื่อมีรายได้ ทำให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น
          บัญชีค่าใช้จ่าย เมื่อมีค่าใช้จ่าย ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง
          บัญชีถอนใช้ส่วนตัว เมื่อมีการถอนเงินสดและนำสินทรัพย์ไปใช้ส่วนตัว ทำให้ส่วนของเจ้าของลดลง
บัญชีที่มีประสบการณ์มาแล้ว

การตั้งชื่อบัญชี


ประเภทของบัญชี
ประเภทของบัญชี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
        1.บัญชีประเภทสินทรัพย์ ได้แก บัญชีประเภทสินทรัพย์หมุนเวียน สินทรัพย์ถาวร และสินทรัพย์อื่น ๆ
        2.บัญชีประเภทหนี้สิน ได้แก่ บัญชีประเภทหนี้สินหมุนเวียน และหนี้สินระยะยาว
        3.บัญชีรปะเภทส่วนของเจ้าของ ได้แก่ บัญชีประเภททุน และการถอนเงินไปใช้
ส่วนตัว

การกำหนดชื่อบัญชีแยกประเภท
        
หลักจากที่ได้วิเคราะห์รายการค้าแล้ว ให้พิจารณาว่ารายการค้าที่จะบันทึกบัญ
ชีนั้นใช้ชื่อบัญชีใด โดยคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาการกำหนดชื่อบัญชีแยกประเภท มีดังนี้
       1.ใช้ชื่อบัญชีที่นิยมใช้โดยทั่วไป
       2.ตั้งชื่ิให้มีความหมายตามประเภทและหมวดของบัญชี
       3.ไม่ควรตั้งชื่อบัญชียาวไป หรือชื่อแปลก
       4.ชื่อบัญชีที่ตั้งนั้นควรลงรายการค้าได้มาก ๆ

การตั้งชื่ิบัญชีตามประเภทของบัญชี มีดังนี้
        1.บัญชีประเภทสินทรัพย์ ได้นำชื่อของสินทรัพยืมาตั้งชื่อบัญชี เช่น บัญชีเงินสด บัญชีลูกหนี้ บัญชีวัสดุสำนักงาน ฯลฯ
        2.บัญชีประเภทหนี้สิน ให้นำชื่อหนี้สินมาตั้งเป็นชื่อบัญชี เช่น บัญชีเจ้าหนี้ บัญ
ชีเงินกู้ ฯลฯ
        3.บัญชีประเภทส่วนของเจ้าของ ให้นำชื่อประเภทส่วนของเจ่าของมาตั้งเป็นชื่อ
บัญชี เช่น บัญชีทุน บัญชีถอนใช้ส่วนตัว ฯลฯ

บทความเกี่ยวกับบัญชี


คุณรู้ไหมว่า .... ธนาคารคิดอย่างไรกับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการด้านสินเชื่อ

ต้องควบคุมและกำหนดวงเงิน เพราะว่า .....
เป็นการบริหารและควบคุมด้านสินเชื่อให้เหมาะสมกับขนาดธุรกิจของลูกค้า
เป็นการสร้างความมั่นใจว่า ลูกค้าจะสามารถชำระหนี้คืนได้
เป็นการคัดเลือกธุรกิจที่ธนาคารเห็นว่าน่าสนใจและมีแนวโน้มที่ดี
จะให้สินเชื่อดีหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะพิจารณาจาก ....
ความสำคัญของลูกค้า เช่น เป็นรายเล็ก หรือรายใหญ่ และมีประวัติอย่างไร
ลักษณะการประกอบธุรกิจ เช่น เป็นมืออาชีพหรือไม่ หรือมีผลงานที่น่าสนใจหรือไม่
สถานภาพของธุรกิจ เช่น มีฐานะมั่นคง มีสินค้าหลากหลาย เป็นผู้นำตลาด
ปัจจุบันธนาคาร มีสินเชื่อที่ให้แก่ธุรกิจนั้นๆ มากน้อยเพียงใด
จะให้สินเชื่อซักเท่าไหร่ดี ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมีหลักเกณฑ์การกำหนดที่คล้ายๆ กัน เช่น
ปริมาณธุรกิจของลูกค้า ได้แก่ ยอดขาย เงื่อนไขการให้หรือได้รับ Credit
รายได้ของลุกค้า
ทุนของลูกค้า
หลักประกันของลูกค้า

แล้ว.... ลูกค้าแบบไหนเนี่ยะ ที่ธนาคารจะให้สินเชื่อ ก็ต้องแบบนี้ซิ ……..
ต้องมี Character (willing to pay ) หมายถึงมีความตั้งใจจะชำระหนี้ โดยดูจาก
มีความรับผิดชอบ responsibility
มีความสุจริต honesty
มีความตรงต่อเวลา punctuality
มีความเสมอต้นเสมอปลาย consistency
ต้องมี Capacity (ability to repay) หมายถึงมีความสามารถชำระหนี้ โดยดูจาก
มีรายได้ประจำ income
มีความสามารถหารายได้ earning capacity
มีหนี้สินที่เหมาะสมกับสถานะ existing debt
มีระเบียบในการใช้จ่าย spending pattern
ต้องมี Capital หมายถึง มีเงินทุนส่วนตัวร่วมด้วย
ต้องมี Collateral หมายถึงมีหลักประกันเป็นประกันหนี้
ต้องมี Condition ไม่มากนัก หมายถึงมีปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจไม่มากนัก
ต้องมี Country ที่ดี หมายถึง อยู่ในประเทศ หรือท้องที่ที่มีปัจจัยเสี่ยงน้อย

แล้ว.. มีอะไรบ้างที่จะนำไปเป็นหลักประกันให้กับธนาคารได้บ้างหล่ะ...
มีมากมาย.. ไม่น่าห่วง เช่น
เงินฝากหรือพันธบัตรหรือกรรมสิทธิ์ใบหุ้น ก็นำไปจดทะเบียนจำนำได้
บ้าน ที่ดิน โรงงาน เครื่องจักร คอนโดมิเนียม ก็นำไปจดทะเบียนจำนองได้
สิทธิการรับเงินตามสัญญาว่าจ้างของส่วนราชการ หรือบริษัทขนาดใหญ่ ที่เป็นที่น่าเชื่อถือ ก็สามารถนำไปโอนสิทธิการรับเงินได้
หรือถ้าตัวเรา เจ๋ง... ยอดเยี่ยม......มีชื่อเสียง ก็ไปค้ำประกันส่วนตัวได้
แล้ว...สินเชื่อที่ว่านี้มันมีอะไรบ้างหล่ะ และเอาไปใช้เพื่ออะไร
มีแค่ 2 ประเภท แต่หลายชนิด ได้แก่
สินเชื่อระยะสั้น ได้แก่
1. Overdraw Limited หรือ O/D ใช้หมุนเวียนในกิจการ
2. เงินกู้ระยะสั้น Short Term Loan หรือ RPN.(Receivable Promise Note) หรือ P/N (Promissory Note) หรือ รับรองตั๋วเงิน ( Bill Except , B/E ) หรือ อาวัลตั๋วเงิน ( Aval ) ใช้เพื่อซื้อวัตถุดิบ หรือ ซื้อสินค้าเพื่อจำหน่าย
3. Letter of Credit , Trust Received ( L/C,T/R ) ใช้เพื่อสั่งซื้อสินค้า หรือสต็อคสินค้า จากต่างประเทศ
4. Packing Credit ( P/C ) ใช้เพื่อผลิตสินค้า เตรียมส่งออกตาม L/C
5. Letter Guarantee ( L/G ) ใช้เพื่อการค้ำประกันต่างๆ ยกเว้นการค้ำประกันเงินกู้
สินเชื่อระยะยาว ได้แก่
1. เงินกู้ระยะยาว Long Term Loan ใช้เพื่อลงทุนหรือขยายกิจการ
2. เงินกู้ BIBF เป็นเงินกู้จากต่างประเทศ นำมาใช้เพื่อการลงทุนหรือขยายกิจการ
3. Standby L/C เป็นการค้ำประกันเงินกู้ที่กู้ยืมจากต่างประเทศ เพื่อนำมาลงทุนหรือขยายกิจการ
4. Letter of Credit , Import Loan ( L/C,I/L ) เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักร หรืออุปกรณ์จากต่างประเทศ เพื่อนำมาใช้ในกิจการ

กิจการของท่าน ประสบปัญหาดังต่อไปนี้หรือไม่
1. มีความล่าช้าของการดำเนินงาน เช่น ความล่าช้าของวัตถุดิบ , การก่อสร้าง การติดตั้งเครื่องจักรล่าช้า เป็นต้น
2. มีปัญหาด้านการผลิต เช่น ราคาวัตถุดิบไม่มีเสถียรภาพ , เครื่องจักรคุณภาพต่ำ , แรงงานสัมพันธ์ เป็นต้น
3. มีปัญหาด้านการตลาด เช่น ราคาสินค้าไม่สามารถแข่งขันได้ , การแข่งขันรุนแรง , คำนวณความต้องการตลาดผิดพลาด เป็นต้น
4. มีปัญหาด้านการเงิน เช่น ภาระดอกเบี้ยจ่ายสูง , ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงผิดปกติ , ลงทุนในสินทรัพย์หมุนเวียนมากเกินไป , ขาดสภาพคล่องทางการเงิน เป็นต้น
5. มีปัญหาด้านการบริหารเสมอ เช่น การวางแผนผิดพลาด , การควบคุมผิดพลาด , การวางแผนผิดพลาด เป็นต้น
สิ่งผิดปกติเหล่านี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้เจ้าของกิจการได้ทราบว่า ธุรกิจของท่านอาจประสบปัญหา ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขที่ถูกต้อง และทันเวลา ทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือ ใช้บริการของมืออาชีพผู้มีประสบการณ์ ให้เข้ามาศึกษาถึงสาเหตุ และแนะนำวิธีการแก้ไขที่เหมาะสมอย่างทันท่วงที ก่อนที่ธุรกิจจะเสียหายอย่างร้ายแรง และต้องปิดกิจการในที่สุด
( ที่มาของข้อมูล : การบริหารเวลา อาจารย์ยงยุทธ พีรพงศ์พิพัฒน์ )